แบรนด์ asava ด้วยการออกแบบชุดผ้าไหมไทยเป็นแบรนด์แฟชั่นที่สร้างความตื่นเต้นและเซอร์ไพรส์ได้เสมอ “Asava Group” ของหนุ่มครีเอทีฟอย่าง “พลพัฒน์ อัศวะประภา” หรือ Moo Asava เจ้าของใหม่ล่าสุดของ Moo Asava สำหรับ ‘ลิซ่า-ลาริสซ่า มโนบาล’ นักร้องสาวชื่อดังแห่ง Blackpink วงดนตรีที่ตอนนี้โด่งดังไปทั่วโลก
ซึ่งก่อนหน้านี้ 13 ปี ชื่อเสียงของ Asava ก็เป็นที่ยอมรับและรู้จักดีอยู่แล้วทั้งในวงการแฟชั่นบ้านเราและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังชุดประกวดสาวงามไทยบนเวทีโลก กูรูด้านแฟชั่นเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย ไปจนถึงการเป็น Personal Stylist ด้านแฟชั่นดีไซน์ และนายกสมาคมแฟชั่นดีไซเนอร์ กรุงเทพ คนแรกของไทย
แต่กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ รู้ไหมว่าครั้งหนึ่งแบรนด์เคยเกือบเจ๊งเพราะบริหารจัดการผิดพลาดด้วยสต็อกผ้ามากกว่า 40 – 50 ล้าน เสื้อผ้าอีกกว่าเป็นหมื่นๆ ชุด จนต้องปิดร้านสาขาบางแห่งไปในที่สุด แต่ยังไงแล้วบนเส้นทางธุรกิจของแบรนด์ Asava ก็มีเรื่องราวให้น่าจดจำ บางอย่างสร้างแรงบันดาลใจ บางอย่างให้แง่คิด เหมือนกับเสื้อผ้าของเขาที่ค่อยๆ เฉิดฉายอยู่บนแคตวอคแฟชั่นให้เราได้คอยลุ้นคอลเลคชั่นใหม่ๆ ว่าแต่ละครั้งจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรออกมาบ้าง
แบรนด์ asava เติบโตในธุรกิจรถยนต์ แต่มาทำงานสายแฟชั่น
แบรนด์ asava ถึงวันนี้จะยืนหนึ่งอยู่ในวงการแฟชั่นบ้านเรา แต่จริงๆ แล้วชีวิตของหมู อาซาว่า กลับเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ พี่ชายพี่สาวทุกคนเรียนต่อทางด้านบัญชี บริหาร เพื่อมารับช่วงต่อกิจการของครอบครัว ชีวิตของเขาช่วงแรกนั้นก็ดูจะดำเนินรอยตามครอบครัวเช่นกัน จนกระทั่งได้เริ่มอ่านนิตยสารแฟชั่นหลายฉบับ เช่น ลลนา, Vogue รวมถึงนวนิยายอย่าง พันธุ์หมาบ้า จนทำให้เขาเริ่มมองเห็นชีวิตนอกกรอบ ความอิสระ และโลกศิลปะ
ชีวิตเขาเริ่มหลงรักแฟชั่นตั้งแต่อยู่มัธยม เคยขอเงินที่บ้านซื้อเสื้อจากห้องเสื้อแบรนด์ดังของดีไซเนอร์ไทยตัวละหลายพันบาท กระทั่งตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาพยายามเบนเข็มมาเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ โดยให้เหตุผลกับที่บ้านว่ามีคนเรียนด้านบัญชีและเศรษฐศาสตร์ไปแล้ว น่าจะมีคนรู้เรื่องการตลาดบ้างจะได้มาช่วยบริหารธุรกิจได้ครบ
กระทั่งสุดท้ายเขาก็ได้พยายามเบนเข็มตัวเองเข้าไปสู่โลกของแฟชั่นด้วยการบินไปสมัครเรียนที่ Parsons School of Design ในนิวยอร์ก ทั้งที่เพิ่งหัดเรียนวาดรูปได้เพียงหกสัปดาห์ ยอมขายบ้าน ขายรถทิ้ง เพื่อเอาเงินไปเรียน กระทั่งสุดท้ายได้ฝึกงานที่ Marc Jacobs ชีวิตเขาก็เริ่มเข้าสู่คนทำงานแฟชั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกลับมาเมืองไทยและก่อตั้งห้องเสื้อเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมาใช้ชื่อว่า Asava เมื่อปี 2551 ในที่สุด
แฟชั่นตัวแรกในชีวิตที่ออกแบบ คือ ชุดนอน ตอนอายุ 13
หากจะถามว่าผลงานการออกแบบชิ้นแรกของหมู อาซาว่า ว่า คือ ชุดอะไร เริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ น่าจะเป็นชุดนอนลายทางที่เขาออกแบบไว้เมื่อตอนอายุ 13 จากโจทย์ที่ครูให้ตัดเย็บชุดนอนมาส่งเป็นการบ้าน ซึ่งนักเรียนทุกคนนำชิ้นงานส่งไว้ตามปกติ แต่เขากลับเรียกเพื่อนมาใส่ให้ครูดู เพื่ออยากให้เห็นรายละเอียดตอนใส่จริงว่าสวยกว่ายังไง ถือเป็นแฟชั่นโชว์ครั้งแรกในชีวิต จนกระทั่งเริ่มหัดทำเครื่องประดับไปซื้อวัสดุอุปกรณ์จากสนามเสือป่ามาทดลองทำขาย จนม.6 ก็เริ่มบินไปจีนดูเสื้อผ้ามาขายมาดัดแปลงเป็นรูปแบบของตัวเองและฝากขายที่สยามสแควร์
เป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นถึง 5 แบรนด์ ร้านอาหารอีก 2 แห่ง
โดยหลังจากก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นแบรนด์แรกของตัวเองออกมา หมู อาซาว่า ก็เริ่มแตกแบรนด์แฟชั่นของตัวเองออกมาอีกเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบันมีแบรนด์แฟชั่นอยู่ในมือภายใต้เครือ Asava Group ถึง 5 แบรนด์ด้วยกัน ได้แก่ ASAVA – ชุดสตรีที่ดูเรียบหรู แต่ก็มีความเท่ในตัว, ASV- ชุดสตรีที่ดูเรียบง่าย แต่มีความสดใสในตัว, White ASAVA – แฟชั่นชุดเจ้าสาว , Uniform by ASAVA – แบรนด์เสื้อผ้าชุดยูนิฟอร์ม และ MOO – แฟชั่นเสื้อผ้าผู้ชาย
นอกจากนี้ยังแตกไลน์ธุรกิจด้วยการเปิดร้านอาหารเพิ่มขึ้นมาอีก 2 แบรนด์ ได้แก่ SAVA Dining – สร้างสรรค์มาจากเมนูในบ้านของเขาที่ชอบทำรับประทานกันในครอบครัว และ Co Limited (โค ลิมิเต็ด) ร้านอาหารสำหรับคนชอบสายเนื้อทุกประเภท
5 DNA ที่อยู่ในแบรนด์ Asava คือ ?
หากจะถามว่า DNA ของแบรนด์ Asava คือ อะไร หมู อาซาว่าเคยให้คำตอบไว้ 5 ข้อ คือ ผู้หญิงทำงานในเมืองใหญ่, ความโก้หรู ที่ไม่หวือหวา, สามารถสวมใส่ได้จริง, ฉลาดและรู้จักใช้ชีวิต และซื่อตรงต่อสไตล์อันเด่นชัดของตัวเอง ซึ่งราคาเสื้อผ้าในเครือ Asava Group จะอยู่ที่ราว 4,000 ถึงหลักหมื่นบาทขึ้นไป
เชื่อในการมีวินัย มากกว่า Passion จากจินตนาการอย่างเดียว
แม้จะทำงานด้านศิลปะ แต่หมู อาซาว่าเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในสื่อหลายสำนักว่า เขาเชื่อในความมีวินัยในการทำงานมากกว่าการมีแพสชั่นเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นอาชีพที่อิสระ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ มาบังคับ การจะสร้างสรรค์งานให้ออกมาดีได้ จึงต้องใช้การฝึกฝนด้วยตนเองและมีวินัยมากกว่าอาชีพอื่นๆ เพื่อเรียนรู้ และพัฒนางานต่อไปได้เรื่อยๆ
เคยเกือบเจ๊งเพราะมีสต็อกล้นกว่า 50 ล้าน และเสื้ออีกกว่าสองหมื่นตัว
ถึงจะแตกไลน์ธุรกิจออกมามากมาย แต่ครั้งหนึ่งหมู อาซาว่า ก็เกือบทำธุรกิจของเขาเจ๊งด้วยการมีสต็อกผ้าอยู่ในมือมากกว่า 40 – 50 ล้านบาท และเสื้ออีกราวสองหมื่นกว่าตัวอยู่ในโกดัง จนทำให้ตัวเลขในบัญชีติดลบ เหตุผลมาจากความลำพองคิดว่าใครๆ ก็อยากได้เสื้อผ้าของตัวเอง จึงขยายธุรกิจรวดเร็วเกินไป ทั้งการขยายสาขาและการผลิตจำนวนมาก บวกกับมาเจอวิกฤทางการเมืองราวปี 2553 ห้างปิด ไม่สามารถขายของได้ นักท่องเที่ยวไม่มี จนโดนยื่นคำขาดจากที่บ้านให้ปิดแบรนด์ แต่เขาไม่ยอม
จนสุดท้ายจึงตัดสินใจปิดสาขาแรกที่พารากอนเนื่องจากมองว่าเป็นรูรั่วใหญ่ เพื่อช่วยพยุงธุรกิจที่เหลือไว้ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลิกเที่ยว หยุดดื่ม ตั้งสติและค้นหาตัวตนใหม่อีกครั้ง จนสามารถกลับมาตั้งหลักได้ในที่สุด